คําเตือนเกี่ยวกับอาการปวดไต – สัญญาณของโรคอันตรายมากมาย

อาการปวดไตเป็นอาการที่พบบ่อยของโรคต่างๆ มากมาย สับสนได้ง่ายกับอาการปวดอื่นๆ เช่น ปวดหลังหรือปวดท้อง จะทำให้ไม่ค่อยใส่ใจและรักษาล่าช้า สิ่งนี้อาจทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่อสุขภาพที่เป็นอันตรายได้ บทความนี้จะส่งคำเตือนเกี่ยวกับอาการปวดไตซึ่งเป็นสัญญาณของโรคอันตรายมากมาย มาเรียนรู้กันเถอะ

1. เรียนรู้อาการปวดไตคืออะไร?

ปวดไตเป็นภาวะที่ทำให้เกิดอาการปวดและไม่สบายบริเวณเอว มักปวดตื้อๆ ที่ด้านข้างหรือตรงกลาง (ใต้ซี่โครง ตามแนวกระดูกสันหลัง) อาการปวดอาจลามไปที่ขาหนีบ หรือช่องท้องส่วนล่าง

เนื่องจากตำแหน่งเฉพาะนี้ อาการปวดไตจึงมักสับสนกับอาการปวดหลังหรือปวดท้องทั่วไป นำไปสู่การมองข้ามและไม่ได้ตรวจและรักษาทันเวลา นี่เป็นข้อผิดพลาดที่เป็นอันตรายซึ่งอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างร้ายแรง

ความล่าช้าในการตรวจพบและรักษาสาเหตุของอาการปวดไตทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนที่เป็นอันตราย เช่น ไตวาย ติดเชื้อในวงกว้าง… ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตเนื่องจากอาการปวดเรื้อรัง ส่งผลต่อกิจกรรมประจำวันและความสามารถในการทำงาน

Link: https://cih.com.vn/en/internal-medicine-general-surgery/2797-kidney-disease-warning-signs.html

2. อาการปวดไตโดยทั่วไป

อาการปวดไตเป็นภาวะทั่วไปที่อาจเกิดจากสาเหตุหลายประการ รวมถึงนิ่วในไต การติดเชื้อในไต ไตอักเสบ และการอุดตันของทางเดินปัสสาวะ อาการทั่วไปของอาการปวดไต ได้แก่:

ปวดหลัง: อาการปวดมักปรากฏด้านหนึ่ง ปวดตื้อๆ หรือรุนแรง และอาจลามไปยังขาหนีบหรือต้นขาด้านในได้

คลื่นไส้ อาเจียน: เนื่องจากการระคายเคืองของระบบย่อยอาหารเนื่องจากปฏิกิริยาตอบสนองจากความเจ็บปวด

ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะขัด: เนื่องจากการติดเชื้อหรือมีนิ่วขัดขวางการไหลของปัสสาวะ

ปัสสาวะขุ่นและมีกลิ่นเหม็น: เกิดจากแบคทีเรียหรือหนองในทางเดินปัสสาวะ

ความดันโลหิตสูง: ทำให้ไตถูกทำลายและทำให้เกิดอาการปวด

เหนื่อยล้า ง่วงนอน: เนื่องจากโรคโลหิตจางและความผิดปกติของไต

  • นอกจากนี้ อาการปวดไตในบางกรณีอาจมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น:
    ปวดเมื่อปัสสาวะ: รู้สึกแสบร้อนหรือเจ็บปวดเมื่อปัสสาวะ
  • ปัสสาวะเป็นเลือด: สามารถมองเห็นได้ด้วยตาหรือผ่านการทดสอบ
  • นิ่วในปัสสาวะ: นิ่วขนาดเล็กสามารถถูกขับออกทางทางเดินปัสสาวะได้
  • คลื่นไส้ อาเจียน: เนื่องจากการระคายเคืองของระบบย่อยอาหารเนื่องจากปฏิกิริยาตอบสนองจากความเจ็บปวด
  • เจ็บปวดเมื่อมีเพศสัมพันธ์: เนื่องจากการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ

Link: https://www.webmd.com/a-to-z-guides/ss/slideshow-kidney-warning-signs

3. แยกแยะระหว่างอาการปวดไตและปวดหลัง

อาการปวดไตและปวดหลังเป็นอาการที่พบบ่อย ซึ่งอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ อย่างไรก็ตาม การแยกความแตกต่างระหว่างอาการทั้งสองนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งจะได้รักษาถูกวิธี

เหมือนกัน:

  • ทั้งสองทำให้เกิดอาการปวดบริเวณบั้นเอว
  • อาการปวดอาจลามไปยังบริเวณอื่นๆ เช่น สะโพก ขาหนีบ และช่องท้องส่วนล่าง
  • บางรายอาจมีอาการร่วมด้วย เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะขัด…

แตกต่าง:

  • เกณฑ์
  • ปวดไต
  • ปวดหลัง
  • บริเวณ
  • มักเน้นที่บั้นเอวข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้าง ใต้ซี่โครง
  • ปรากฏที่บริเวณบั้นเอว สามารถปวดไปทั้งสองข้างหรือทั้งหลังได้

ลักษณะ

  • อาการปวดมักรุนแรง ท้องปวดบิดเป็นพักๆ และสามารถลามไปยังขาหนีบและต้นขาด้านในได้
  • อาการปวดมักตื้อๆ เมื่อย และเพิ่มขึ้นเมื่อเคลื่อนไหวหรือเปลี่ยนท่า

สาเหตุ

  • นิ่วในไต การติดเชื้อในไต ไตอักเสบ การอุดตันของทางเดินปัสสาวะ…
  • กระดูกสันหลังเสื่อม หมอนรองกระดูกเคลื่อน กล้ามเนื้อตึง บาดเจ็บ…

อาการที่มาพร้อมกัน

  • คลื่นไส้ อาเจียน ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะขัด ปัสสาวะขุ่น มีไข้ หนาวสั่น…
  • อาจมีอาการชา ขาอ่อนแอ และเคลื่อนไหวได้ยากร่วมด้วย

4. สาเหตุของอาการปวดไต

ความเจ็บปวดเกิดจากไตอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคอันตรายบางชนิดได้ การทำความเข้าใจสาเหตุเป็นขั้นตอนแรกเพื่อให้คุณสามารถป้องกันและปกป้องตัวเองได้

4.1. นิ่วในไต

นิ่วในไตเป็นคราบแข็งที่เกิดจากการสะสมของแร่ธาตุในปัสสาวะ เมื่อนิ่วมีขนาดเล็กก็สามารถขับออกทางทางเดินปัสสาวะได้ตามธรรมชาติ อย่างไรก็ตามหากนิ่วมีขนาดใหญ่ นิ่วจะติดอยู่ในท่อไตได้ ทำให้ปัสสาวะไม่ไหลเวียน

ผลที่ตามมาคืออาการปวดหลัง สะโพก หรือขาหนีบรุนแรงกะทันหัน อาการปวดนี้มักเรียกว่า “อาการจุกเสียดไต” เนื่องจากอาการจะรุนแรงและเป็นวงกว้าง
อาการทั่วไป: อาการจุกเสียดไตอย่างรุนแรง ลุกลามไปที่ขาหนีบ ร่วมกับมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปัสสาวะบ่อย และปัสสาวะขัด

4.2. การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ

การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ (UTI) เป็นภาวะทั่วไปที่เกิดจากแบคทีเรียที่บุกรุกและโจมตีอวัยวะต่างๆ ในระบบทางเดินปัสสาวะ รวมถึงท่อปัสสาวะ กระเพาะปัสสาวะ ท่อไต และไต
ปัจจัยทำให้เป็นโรค

  • แบคทีเรีย Escherichia coli (E. coli) มักอาศัยอยู่ในลำไส้ แต่สามารถเคลื่อนไปยังทางเดินปัสสาวะผ่านทางทางเดินปัสสาวะได้
  • Gonococcus และ Proteus mirabilis เป็นแบคทีเรียที่ทำให้เกิดการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะได้
  • โดยมีอาการต่างๆ เช่น มีไข้สูง หนาวสั่น ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะขัด ปัสสาวะขุ่น ปวดหลัง

4.3. ไตติดเชื้อ

ภาวะติดเชื้อในไตหรือที่เรียกว่าการติดเชื้อในไต เป็นภาวะที่เกิดจากแบคทีเรียจากทางเดินปัสสาวะเข้าโจมตีและก่อให้เกิดการอักเสบที่ไตข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้าง โรคนี้ก่อให้เกิดอาการไม่สบายตัว เช่น อาการปวดเมื่อยบริเวณหลัง สะโพก และขาหนีบ พร้อมทั้งมีไข้สูง

ผู้ที่มีความเสี่ยงในการเกิดโรคนี้สูงกว่า ได้แก่ ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานหรือมีปัญหาการอุดตันของทางเดินปัสสาวะ เนื่องจากแบคทีเรียสามารถเข้าไปและเจริญเติบโตในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมได้อย่างง่ายดาย

ภาวะติดเชื้อในไตเรื้อรัง เป็นภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายจากการติดเชื้อที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ซึ่งนำไปสู่การทำลายไตอย่างถาวร ปัสสาวะที่คั่งค้างเนื่องจากความผิดปกติของทางเดินปัสสาวะเป็นสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้แบคทีเรียเข้ามาโจมตีซ้ำๆ ทำให้การทำงานของไตเสื่อมลง

4.4 ไตบวมน้ำ

ไตบวมน้ำเป็นภาวะปัสสาวะคั่งค้างในไตเนื่องจากการอุดตันของทางเดินปัสสาวะ ซึ่งโดยปกติเกิดจากนิ่วในไต นิ่วจะเกิดขึ้นในไตหรือเคลื่อนที่จากตำแหน่งอื่นมา แล้วไปติดอยู่ที่ท่อไต ซึ่งเป็นท่อที่นำปัสสาวะจากไตไปยังกระเพาะปัสสาวะ
ภาวะไตบวมน้ำสามารถเกิดขึ้นได้กับไตข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้าง ทำให้เกิดอาการปวดอย่างรุนแรงที่หลัง สะโพก โคนขา และขาหนีบ

4.5 โรคถุงน้ำในไต

โรคถุงน้ำในไตเป็นโรคทางพันธุกรรมที่ทำให้ถุงน้ำที่เต็มไปด้วยของเหลวพัฒนาขึ้นในไต ถุงน้ำเหล่านี้จะค่อยๆ เพิ่มขนาดและจำนวนขึ้นตามกาลเวลา ทำให้ไตบวม อวบ และค่อยๆ สูญเสียการทำงานในการกรองเลือดไป
อาการทั่วไปของโรคคือปวดตื้อๆ บริเวณโคนขา เอว หรือหน้าท้องตอนบน

4.6 เนื้องอกชนิดไม่ร้ายแรงหรือร้ายแรง

การเกิดเนื้องอกชนิดไม่ร้ายแรงหรือร้ายแรง (มะเร็ง) ในไต อาจทำให้เกิดอาการปวดไตเรื้อรังได้เช่นกัน คุณอาจรู้สึกปวดตื้อๆ ยืดเยื้อบริเวณโคนขา เอว หรือข้างลำตัว ลั

กษณะของอาการปวดเนื่องจากเนื้องอกในไต:

อาการปวดตื้อ: ต่างจากอาการปวดจากนิ่วในไตที่เป็นแบบบีบรัด แน่นหน้าอก อาการปวดเนื่องจากเนื้องอกมักจะตื้อๆ เรื้อรัง และอาจเพิ่มมากขึ้นได้ตามกาลเวลา

ตำแหน่งที่ปวด: อาการปวดอาจแผ่ไปยังบริเวณอื่นๆ เช่น โคนขา ขาหนีบ ต้นขาด้านใน หรือแม้แต่ลงไปที่ขา

อาการร่วม: บางรายอาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะแสบน้ำ น้ำหนักลด …

4.7. ภาวะลิ่มเลือดอุดตันหลอดเลือดดำที่ไต

การเกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำที่ไตหรือที่เรียกว่าภาวะลิ่มเลือดอุดตันหลอดเลือดดำที่ไต อาจทำให้เกิดอาการปวดอย่างรุนแรงและเป็นอยู่นาน รู้สึกแน่นเหมือนถูกบีบรัด ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกไม่สบายตัวอย่างมาก อาการปวดมักจะเกิดขึ้นที่ข้างลำตัวหรือข้างใดข้างหนึ่งของไต อาจแผ่ไปยังบริเวณโดยรอบ เช่น ระหว่างซี่โครงหรือตามแนวกระดูกสันหลัง

4.8. ไตได้รับบาดเจ็บ

แรงกระแทกอย่างรุนแรงที่บริเวณหน้าท้องหรือหลังส่วนล่างจากอุบัติเหตุ การออกกำลังกายหนัก เช่น มวย ฟุตบอล ขี่ม้า … อาจทำให้ไตได้รับบาดเจ็บ จนเกิดอาการปวดเมื่อยรุนแรง ระดับความรุนแรงของอาการปวดขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของอาการบาดเจ็บ

5. การวินิจฉัยและการรักษาอาการปวดไต

อาการปวดไตอาจเกิดจากหลายสาเหตุ จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องวินิจฉัยสาเหตุที่แท้จริงให้ถูกต้องเพื่อการรักษาที่มีประสิทธิภาพ แพทย์จะใช้วิธีการต่างๆ เพื่อวินิจฉัย เช่น

5.1. วิธีวินิจฉัยอาการปวดไต

การตรวจเลือด

ตรวจเลือดเพื่อตรวจหาค่าสำคัญต่างๆ เช่น โปรตีน เม็ดเลือดขาว สารเคมีที่เกี่ยวข้องกับโรคไต ซึ่งจะช่วยให้ทราบถึงสาเหตุของอาการปวดไตว่าเกิดจากการติดเชื้อหรือไม่ และประเมินความรุนแรงของโรค

ตรวจปัสสาวะ

ตรวจปัสสาวะเพื่อวิเคราะห์ส่วนประกอบของปัสสาวะ เช่น ตรวจหาเศษนิ่วหรือเชื้อแบคทีเรีย ช่วยให้ทราบว่ามีการติดเชื้อและอยู่ในบริเวณใด นอกจากนี้ยังสามารถประเมินการทำงานของไตได้ด้วยการตรวจวัดค่าครีเอตินีนและอัลบูมิน รวมถึงยังช่วยค้นหาปัญหาไตในระยะเริ่มต้นได้ เช่น นิ่วในไต, โรคไตอักเสบ …

ตรวจภาพ (เช่น CT scan อัลตราซาวด์)
ตรวจภาพ (เช่น CT scan อัลตราซาวด์) เพื่อให้เห็นภาพโครงสร้างและการทำงานของไตอย่างละเอียด ซึ่งจะช่วยให้แพทย์เห็นภาพไตในปัจจุบัน

ได้ชัดเจนขึ้นว่ามีปัญหาแอบแฝงใดๆ เช่น นิ่วในไต, มวลถุงน้ำ ก้อนเลือด …
การเลือกวิธีตรวจที่เหมาะสมจะขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวดไตและสภาพร่างกายของผู้ป่วย ผลการตรวจจะต้องได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ร่วมกับข้อมูลอื่นๆ เพื่อให้การวินิจฉัยมีความแม่นยำ

5.2 วิธีรักษาอาการปวดไต

เพื่อจัดการกับปัญหาอาการปวดไตอย่างได้ผล การใช้วิธีการรักษาที่เหมาะสมมีความสำคัญเป็นอย่างมาก เป้าหมายโดยรวมของวิธีการเหล่านี้คือ เพื่อลดอาการปวดให้น้อยที่สุด และกำจัดสาเหตุของโรค

การรักษาทางการแพทย์: ใช้วิธีนี้เมื่ออาการไม่รุนแรง และยังไม่มีผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพ วิธีการรักษานี้ประกอบด้วยการจ่ายยา แนะนำโภชนาการ และออกกำลังกายที่เหมาะสม

การรักษาด้วยวิธีผ่าตัด: ใช้สำหรับอาการรุนแรงที่ทำให้โครงสร้างและการทำงานของไตเสียหายอย่างถาวร วิธีผ่าตัดที่นิยมใช้ ได้แก่ การผ่าตัด การใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในการทำลายสาเหตุของโรค และการปลูกถ่ายไต …

 
 
 
 
0617862236