ตามกาลเวลา เนื่องจากการเสื่อมโทรมตามอายุขัย หรือการถ่ายทอดทางพันธุกรรมธ์ุ ไตหยางต่ำอาจเกิดขึ้นได้ ซึ่งนำมาซึ่งผลเสียมากมายต่อสุขภาพและจิตใจ บทความนี้จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับวิธีที่มีประสิทธิภาพในการควบคุมภาวะไตหยางต่ำ
1. ไตหยางต่ำคือโรคอะไร?
“หยินหยางในไตมีบทบาทสำคัญในการรักษาจิตใจให้แจ่มใส ความรู้สึกตื่นตัว และนำพาพลังไปยังร่างกาย อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดภาวะไตหยางต่ำ เนื่องจากหยางในไตเสื่อม ร่างกายจึงสูญเสียความสามารถในการทำให้อบอุ่นไปทีละน้อย ซึ่งนำไปสู่ภาวะ “น้ำเกิน”” (ความชื้นในร่างกายเพิ่มขึ้น)”
แม้ว่าผู้ป่วยอาจไม่แสดงอาการผิดปกติภายนอก ร่างกายก็ยังคงทำงานอย่างเชื่องช้า ส่งผลด้านลบต่อสุขภาพ ภาวะหยางในไตต่ำยังเป็นที่รู้จักในชื่อ “ความร้อนที่ประตูนำชีวิตเสื่อม” หรือ “ภาวะเย็นเกิน” ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในเพศชายและเพศหญิง โดยมีอาการโดยทั่วไปที่แตกต่างกันคือ
1.1 ภาวะไตหยางพร่องในเพศชาย
จากการสำรวจ พบว่าเพศชายมีแนวโน้มที่จะเป็นภาวะไตหยางพร่องได้มากกว่าเพศหญิง ส่งผลให้เสี่ยงเกิดปัญหาทางสรีระ เช่น การหลั่งเร็ว หลั่งลื่น รวมถึงการแข็งตัวล้มเหลวซึ่งมีผลกระทบต่อสุขภาพในการมีบุตรและชีวิตคู่เป็นอย่างมาก
โดยสาเหตุหลักที่ก่อให้เกิดภาวะไตหยางพร่องในเพศชายมักเกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่เหมาะสม อย่างเช่น
- การสูบบุหรี่: การสูบบุหรี่ส่งผลเสียต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด ทำให้มีผลต่อการหมุนเวียนเลือด ส่งผลให้ไตหยางทำงานได้ลดลง
- การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์: แอลกอฮอล์ในเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีผลทำให้หยางในร่างกายอ่อนแอ ส่งผลให้เกิดภาวะไตหยางพร่อง
- โรคอ้วน: ภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วนส่งผลให้มีแรงกดทับบริเวณอวัยวะภายใน รวมถึงไตด้วย ซึ่งมีส่วนทำให้ไตหยางทำงานได้ลดลง
- โรคความดันโลหิตสูง: เมื่อไม่ได้รับการควบคุมอย่างดี ความดันโลหิตสูงอาจก่อให้เกิดการทำลายไต ทำให้การทำงานของไตหยางเสื่อมลง นอกจากนี้
ปัจจัยอื่นๆ เช่น อายุ พันธุกรรม ความเครียด ภาวะอ่อนเพลียก็อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะไตหยางพร่องในเพศชายได้เช่นกัน
1.2 โรคไตหยางพร่องในผู้หญิง
เช่นเดียวกับผู้ชาย ผู้หญิงก็สามารถเป็นโรคไตหยางพร่องได้เช่นกัน เนื่องจากอายุ ไตอ่อนแอ หรือมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาการนี้จะนำไปสู่ผลกระทบเชิงลบมากมายต่อสุขภาพและชีวิตสมรสของผู้หญิง รวมถึง:
- อารมณ์แปรปรวน: โรคไตหยางพร่องอาจทำให้เกิดอาการต่างๆ เช่น ความวิตกกังวล ภาวะซึมเศร้า (หงุดหงิด ฉุนเฉียวง่าย) ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต
- ลดความต้องการทางเพศ: เนื่องจากขาดหยาง ผู้หญิงอาจประสบภาวะเฉยชา ไม่สนใจเรื่องบนเตียง
- แห้งแล้ง: ช่องคลอดขาดความชุ่มชื้นทำให้ผู้หญิงรู้สึกไม่สบาย ระคายเคืองเมื่อมีเพศสัมพันธ์
- นอนไม่หลับ: ภาวะไตหยางทำงานลดลงอาจทำให้เกิดภาวะนอนไม่หลับ หลับไม่สนิท
- ยากต่อการตั้งครรภ์หรือหมดประจำเดือนก่อนวัยอันควร: โรคไตหยางพร่องส่งผลต่อความสามารถในการเจริญพันธุ์ของผู้หญิง ทำให้ตั้งครรภ์ยากหรือประสบภาวะหมดประจำเดือนก่อนวัยอันควร
2. สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดโรคไตหยางพร่อง
โรคไตหยางพร่องเป็นภาวะที่ไตหยางทำงานเสื่อมลง ทำให้เกิดผลกระทบเชิงลบต่อสุขภาพมากมาย สาเหตุที่พบได้ทั่วไปที่ทำให้เกิดภาวะนี้ ได้แก่:
2.1 เนื่องจากอายุ
เมื่อเวลาผ่านไปเมื่ออายุมากขึ้นการทำงานของอวัยวะภายในร่างกายก็จะค่อยๆ เสื่อมถอยลง ไตหยางที่มีบทบาทสำคัญในการรักษาสุขภาพโดยรวมก็เช่นกัน เมื่อฤทธิ์ในการทำให้เกิดความอบอุ่นของไตหยางลดลงเนื่องจากความเสื่อมของร่างกาย สุขภาพร่างกายและสุขภาพจิตของผู้ป่วยจะมีอาการที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้สูงอายุที่มีอาการไตหยางพร่องมักมีอาการดังต่อไปนี้
สมรรถภาพทางเพศลดลง
- อ่อนเพลียและขาดพลังชีวิต: รู้สึกอ่อนเพลียและขาดพลังงานตลอดเวลา
- กลัวความหนาวเย็น มือและเท้าเย็นบ่อยๆ: เนื่องจากขาดหยาง ทำให้ร่างกายไม่สามารถสร้างความร้อนเพื่อให้ร่างกายอบอุ่นได้เอง
- ปวดหลังส่วนล่าง: ไตเสื่อมทำให้เลือดและลมไหลเวียนไม่สะดวก จึงทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยบริเวณเอว
- นอนหลับยาก: นอนไม่หลับ หรือนอนไม่หลับ บ่อยครั้งที่ตื่นกลางดึก
- ความจำลดลง: มีสมาธิไม่ดี ขี้ลืม ความสามารถในการจดจำลดลง
- ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ: เป็นหวัดได้ง่าย ไอและน้ำมูกไหล
นอกจากนี้ เนื่องจากร่างกายอ่อนแอ ผู้สูงอายุที่มีอาการไตหยางพร่องมักมีระยะเวลาในการรักษาโรคนานกว่าคนวัยหนุ่มสาว
2.2 จากภาวะที่เกิดขึ้นที่ไตเอง
ภาวะไตหยางเสื่อมเกิดจากไม่เพียงแต่ความชราภาพเท่านั้น ยังเป็นผลที่ตามมาจากภาวะที่เกิดขึ้นที่ไตเรื้อรังมานานโดยที่รักษาไม่หายขาด ได้แก่
- โรคบิด: การสูญเสียน้ำและเกลือแร่จากการถ่ายเหลวบ่อยๆ ทำให้ร่างกายอ่อนแอลง มีผลกระทบต่อการทำงานของไต นำไปสู่การพร่องของหยางได้
- วัณโรค: วัณโรคปอด วัณโรคต่อมน้ำเหลือง วัณโรคกระดูก ฯลฯ ทำให้สุขภาพโดยรวมเสื่อมลง ภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง จึงทำให้หยางถูกทำลายได้ง่าย นำไปสู่ภาวะไตหยางเสื่อม
- โรคบวมน้ำ: ภาวะที่มีน้ำคั่งในร่างกาย เนื่องมาจากการทำงานของไตที่เสื่อมลง มีผลกระทบต่อการไหลเวียนของเลือด ทำให้เกิดภาวะ “น้ำชนะไฟ” ส่งผลให้ไตหยางเสื่อม
เมื่อเป็นภาวะที่เกิดขึ้นที่ไตเรื้อรัง ภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยจะเสื่อมโทรมลงเรื่อยๆ ร่างกายอ่อนแอ จึงถูกทำร้ายได้ง่ายจากสิ่งแวดล้อมภายนอก ภาวะเหล่านี้จึงก่อให้เกิดความเสียหายต่อหยาง จนนำไปสู่การเกิดภาวะไตหยางเสื่อม
2.3 ปัจจัยทางพันธุกรรม
จากการศึกษาวิจัยพบว่า ผู้ที่มีญาติสายตรงที่มีโรคไต จะมีความเสี่ยงที่สูงกว่าคนปกติในการเกิดภาวะไตหยางเสื่อม ซึ่งบ่งชี้ได้ว่า ปัจจัยทางพันธุกรรมน่าจะมีส่วนสำคัญในการกำหนดการเกิดและการดำเนินไปของภาวะนี้
นอกจากนี้ โรคบางอย่างที่เกิดตั้งแต่กำเนิด หรือโรคแทรกซ้อนจากภาวะสุขภาพอื่นๆ ซึ่งเกิดขึ้นได้ทั้งในเพศชายและเพศหญิง ก็อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดไตหยางเสื่อมได้ เช่น
- โรคที่เกิดตั้งแต่กำเนิด: โรคบางอย่างที่เกิดตั้งแต่กำเนิดและมีผลต่อการทำงานของไต เช่น โรคไตวายแต่กำเนิด อาจนำไปสู่การเสื่อมของไตหยางในเวลาต่อมาได้
- โรคเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด: โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจล้มเหลว … อาจทำให้ไตได้รับความเสียหาย และนำไปสู่การเสื่อมของไตหยางได้
- โรคเบาหวาน ภาวะเบาหวานที่ไม่ได้รับการควบคุมอย่างเหมาะสม อาจทำให้ไตได้รับความเสียหาย และนำไปสู่การเสื่อมของไตหยางได้ โรคภูมิต้านตนเอง
- โรคแพ้ภูมิตนเอง: เช่น โรคลูปัส (SLE) หรือภาวะไตอักเสบจากภูมิตนเอง … อาจทำให้ไตได้รับความเสียหาย และนำไปสู่การเสื่อมของไตหยางได้
2.4 จากการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย
การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย ก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดอาการไตหยางพร่องได้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะในเพศชาย มีพฤติกรรมทางเพศบางอย่างที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ ได้แก่
- การมีเพศสัมพันธ์กับหลายคน: การมีเพศสัมพันธ์กับคู่จำนวนมาก โดยเฉพาะเมื่อไม่มีการสวมถุงยางอนามัย แสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคทางเพศสัมพันธ์ (STDs) ทำให้สุขภาพการเจริญพันธุ์แย่ลง และไตหยางพร่องได้
- การมีเพศสัมพันธ์นานเกินไป: การมีเพศสัมพันธ์ที่ยืดเยื้ออาจส่งผลให้ร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งอวัยวะเพศเกิดการเสื่อมโทรม ทำให้ไตหยางพร่อง และเกิดปัญหาสุขภาพอื่นๆ เช่น ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศและการหลั่งเร็ว
- การมีเพศสัมพันธ์บ่อยเกินไป: การมีเพศสัมพันธ์บ่อยจนเกินไป ทำให้ร่างกายไม่มีโอกาสฟื้นตัวทัน ส่งผลให้ไตหยางพร่องได้ง่าย และอาจเสี่ยงต่อโรคทางระบบสืบพันธุ์ได้
3.อาการทั่วไปของภาวะไตหยางพร่อง
เนื่องจากลักษณะทางชีวภาพที่ต่างกัน อาการของภาวะไตหยางพร่องในผู้ชายและผู้หญิงจึงแตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม อาการบางอย่างก็ปรากฏในทั้งสองเพศ
- อ่อนเพลียหมดแรง: ผู้ป่วยมักรู้สึกอ่อนเพลีย เฉื่อยชา ไม่มีแรง และเป็นลมง่าย
- กลัวความเย็น: มือเท้าเย็นอยู่เสมอ เป็นหวัดบ่อยๆ บางครั้งรู้สึกกลัวลมและความเย็น
- ความต้องการทางเพศลดลง: เนื่องจากขาดหยาง ผู้ชายและผู้หญิงอาจประสบปัญหาความต้องการทางเพศลดลง
- สมรรถภาพทางเพศลดลง: ในผู้ชาย ภาวะไตหยางพร่องอาจนำไปสู่การหย่อนสมรรถภาพทางเพศ หลั่งเร็ว และการฝันเปียก ในผู้หญิง อาจทำให้เกิดภาวะช่องคลอดแห้ง ชืดชา และถึงจุดสุดยอดได้ยาก
- นอนหลับผิดปกติ: นอนไม่หลับ หลับยาก และนอนหลับไม่สนิท เป็นอาการทั่วไปของภาวะไตหยางพร่อง
- ระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง: ภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอทำให้ผู้ป่วยติดโรคติดต่อได้ง่าย และฟื้นตัวจากอาการป่วยได้ยาก
สำหรับผู้ชายที่ประสบภาวะหยางพร่องเนื่องจากไตหยางพร่อง จะมีอาการทั่วไปดังต่อไปนี้: - สมรรถภาพทางเพศลดลง: คุณภาพของสเปิร์มลดลง ทำให้เกิดภาวะมีบุตรยาก การมีบุตรยาก
- ปวดเมื่อยร่างกาย: ปวดข้อ ปวดไหล่ ปวดศีรษะบ่อยๆ
- หูอื้อ ผมร่วงหรือผมหงอกก่อนวัยอันควร
- ผิวหน้าซีดเซียว ลิ้นซีด พูดตะกุกตะกัก
- สำหรับผู้หญิงที่เป็นโรคไตหยางพร่อง จะมีอาการทั่วไปดังต่อไปนี้:
- หมดประจำเดือนก่อนวัยอันควร: รอบเดือนผิดปกติ ไม่สม่ำเสมอ หรือมีประจำเดือนออกน้อย เข้าสู่ภาวะหมดประจำเดือนเร็วกว่าปกติ
- ปัสสาวะผิดปกติ: ปัสสาวะบ่อยโดยเฉพาะในตอนกลางคืน พร้อมอาการปัสสาวะไม่สุด ปัสสาวะแสบขัด หรือกลั้นปัสสาวะเล็ด
- มีปัญหาปวดถ่ายตอนตีห้า: หลังจากตื่นนอนตอนเช้าตรู่ ผู้ป่วยรู้สึกปวดท้องและอยากถ่ายอุจจาระทันที มีอาการคล้ายท้องเสีย
- ปวดหน่วงบริเวณท้องน้อยและเอว
- มีบุตรยาก
4. วิธีบำรุงไตในปัจจุบันมีอะไรบ้าง?
4.1 การรักษาไตหยางพร่องด้วยการฝังเข็ม
การฝังเข็มเป็นวิธีรักษาที่ไม่ใช้ยา ซึ่งได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้วว่ามีประสิทธิภาพสูงในการปรับปรุงภาวะไตหยางพร่อง การบำบัดนี้ช่วยควบคุมอาการที่ไม่สบายตัว ป้องกันการลุกลามของโรค และเพิ่มเสริมสุขภาพโดยรวมให้กับผู้ป่วย
วิธีการฝังเข็มใช้การกระตุ้นจุดฝังเข็มบนร่างกาย กระตุ้นเส้นลมปราณ เคลื่อนย้ายพลังลมและเลือด โดยจะช่วยทำให้ร่างกายอบอุ่น บำรุงหยาง ปรับปรุงการทำงานของไตและอวัยวะภายใน การรักษาไตหยางพร่องด้วยการฝังเข็มเป็นไปตามหลักการดังนี้
- หลักการหยินหยาง: กระตุ้นจุดฝังเข็มหยวน จินเยว่ เพื่อบำรุงหยวนฉี ซึ่งเป็นรากฐานของหยาง
- กระตุ้นเส้นลมปราณ: กระตุ้นจุดฝังเข็มจิงเหมิน เชินยู เพื่อบำรุงไต เพิ่มน้ำอสุจิ กักเก็บน้ำอสุจิ
- บำรุงหยางไต: ใช้จุดหมิงเหมิน ฉีไห่ เฉิ่นหยวี่ กวนหยวน เพื่อบำรุงหยางไตโดยตรง ปรับปรุงการทำงานของไต
เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงสุด ผู้ป่วยควรไปสถานพยาบาลที่มีชื่อเสียงและมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านฝังเข็มเพื่อทำการรักษา การฝังเข็มด้วยตนเองที่บ้านอาจมีความเสี่ยงเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น เลือดออก ติดเชื้อที่ผิวหนัง ปวด หรือชา ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพได้
4.2 เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตให้มีสุขภาพดีและเป็นวิทยาศาสตร์
นิสัยการกินและการใช้ชีวิตมีบทบาทสำคัญในการควบคุมและปรับปรุงภาวะหยางไตขาด วิถีชีวิตที่ไม่ดีต่อสุขภาพอาจทำให้โรคลุกลามได้ ดังนั้น การปรับเปลี่ยนการกินและการใช้ชีวิตจึงจำเป็นเพื่อสนับสนุนการรักษาที่มีประสิทธิภาพ
การรับประทานอาหาร:
- การรับประทานอาหาร: เสริมอาหารที่อุดมไปด้วยแป้ง: ข้าวสาลี ข้าวโพด มันหวาน มันฝรั่ง ฯลฯ เป็นแหล่งแป้งที่ดีต่อร่างกาย ช่วยบำรุงลมปราณและเลือด เพิ่มพลัง
- จำกัดอาหารที่มีน้ำตาลมาก: น้ำตาลสามารถเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด ทำให้อาการของหยางไตขาดแย่ลง ควรลดขนมหวาน น้ำอัดลม ลูกอม …
- ลดอาหารที่มีน้ำมัน ไขมันไม่ดี และอาหารรสจัด: อาหารเหล่านี้สามารถส่งผลต่อการทำงานของระบบย่อยอาหาร ทำให้การดูดซึมสารอาหารทำได้ยากขึ้น และทำให้อาการต่างๆ ของโรคลุกลามหนักขึ้น
วิถ๊การใช้ชีวิต:
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ: หมั่นออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน ด้วยการออกกำลังกายที่เหมาะสม เช่น เดิน วิ่ง โยคะ… ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างสุขภาพที่ดี กระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต และช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน
- รักษาสมดุลระหว่างการทำงานและการพักผ่อน: อย่าทำงานหนักเกินไปและอย่าเครียดอย่างต่อเนื่อง ควรหาเวลาพักที่เหมาะสมเพื่อให้ร่างกายได้พักฟื้น
- มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยและสม่ำเสมอ: การมีเพศสัมพันธ์บ่อยเกินไปอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพและส่งผลต่อการรักษา
- นอนหลับให้เพียงพอ: การนอนหลับมีส่วนสำคัญในการฟื้นฟูพลังและสุขภาพ ควรนอนหลับให้เพียงพอ 7-8 ชั่วโมงต่อวัน
ภาวะหยางไตบกพร่องคือภาวะที่การทำงานของไตบกพร่องเนื่องจากมีหยางชี่ไม่เพียงพอ ส่งผลให้สุขภาพและวิถีชีวิตของทั้งชายและหญิงได้รับผลกระทบในทางลบเป็นไปจำนวนมาก การรับรู้สาเหตุและอาการของโรคแต่เนิ่นๆ เป็นสิ่งสำคัญอย่างมากเพื่อให้สามารถรักษาและป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ