ก้อนซีสต์ที่ไตโดยทั่วไปแล้วจะเป็นก้อนเนื้อที่ผิดปกติ ซึ่งมีของเหลวอยู่ภายใน แม้ว่าซีสต์ที่ไตส่วนใหญ่จะไม่เป็นอันตราย แต่ก็ยังมีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้ ซีสต์ที่ไตเป็นอันตรายหรือไม่?
1. ซีสต์ที่ไต คืออะไร?
ผู้ป่วยหลายคนสงสัยว่าซีสต์ที่ไตเป็นอันตรายหรือไม่ ในการตอบคำถามนี้ สิ่งแรกที่เราต้องรู้คือโรคนี้คืออะไร และเกิดจากสาเหตุใด ซีสต์ที่ไตโดยทั่วไปแล้วจะเป็นโครงสร้างที่ผิดปกติ มีลักษณะกลม มีของเหลวอยู่ภายใน เกิดขึ้นที่ไตข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้าง และไม่มีการเชื่อมต่อกับท่อไตหรือกรวยไต ผู้ป่วยที่เป็นซีสต์ที่ไตส่วนใหญ่จะเป็นเด็กและผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปี แต่อย่างไรก็ตามโรคนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ทารกแรกเกิดได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นซีสต์ที่ไตแต่กำเนิด
“ปัจุบัน ซีสต์ที่ไตแบ่งออกเป็น 3 ชนิด ได้แก่:”
- ซีสต์ที่ไตเดี่ยว: เป็นชนิดที่พบบ่อยที่สุด มักจะเกิดขึ้นที่ชั้นนอกของไตและส่วนใหญ่จะเป็นเนื้องอกชนิดไม่ร้ายแรง หากซีสต์ที่ไตเดี่ยวมีขนาดใหญ่ อาจทำให้เกิดอาการปวดหลังด้านข้าง และบางครั้งอาจไปกดเบียดเนื้อไตและส่งผลกระทบต่อการทำงานของไตได้ ในกรณีนี้ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดเพื่อเอาซีสต์ที่ไตออก
- ซีสต์ที่ไตหลายอัน (มากกว่า 2 อัน): เกิดจากการอุดตันของหน่วยไตหลายหน่วย
- โรคไตเป็นถุงน้ำ: สาเหตุหลักมาจากพันธุกรรม โดยเฉพาะความผิดปกติของโครงสร้างที่ทำให้เนื้อไตส่วนใหญ่เปลี่ยนแปลงเป็นซีสต์ที่มีของเหลวอยู่ภายใน
จนถึงปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของการเกิดซีสต์ที่ไต อย่างไรก็ตาม งานวิจัยหลายชิ้นชี้ให้เห็นว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดจากภาวะปัสสาวะคั่งในไต นอกจากนี้ สาเหตุอื่น ๆ เช่น ภาวะโลหิตจาง หรือความเสียหายของโครงสร้างท่อไต ก็อาจทำให้เกิดซีสต์ที่ไตได้เช่นกัน ในบางกรณีอาจเกิดจากถุงเล็ก ๆ ภายในท่อไตที่หลุดออกมาและก่อตัวเป็นซีสต์ที่ไต
ปัจจัยเสี่ยงที่อาจเพิ่มโอกาสในการเกิดซีสต์ที่ไต ได้แก่:
- อายุ 50 ปีขึ้นไป
- มีประวัติการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
- ผู้ป่วยที่กำลังได้รับการฟอกไตเป็นประจำ
- มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคไต
2. อาการของซีสต์ที่ไต
ในกรณีส่วนใหญ่ ซีสต์ที่ไตมักไม่แสดงอาการทางคลินิก จึงมักตรวจพบโดยบังเอิญหรือเมื่อเกิดภาวะแทรกซ้อนแล้ว ในกรณีที่มีอาการ อาการทางคลินิกของผู้ป่วยโรคซีสต์ที่ไตมักประกอบด้วย:
- ปวดบริเวณสีข้างหรือหลังส่วนล่างร่วมกับมีเลือดปนในปัสสาวะ เนื่องจากซีสต์ที่ไตมีขนาดใหญ่ขึ้นจนไปกดเบียดอวัยวะอื่นๆ
- หนาวสั่นมีไข้สูงในผู้ป่วยที่มีภาวะเลือดออกในซีสต์หรือการติดเชื้อในซีสต์
- ความดันโลหิตสูงเมื่อซีสต์มีขนาดใหญ่กดทับหลอดเลือดแดงที่ไต
- ไตโต ซึ่งแพทย์สามารถคลำพบได้ในระหว่างการตรวจร่างกาย
3. ซีสต์ที่ไต อันตรายหรือไม่?
ซีสต์ที่ไตส่วนใหญ่ไม่เป็นอันตรายและไม่จำเป็นต้องรักษา อย่างไรก็ตาม ซีสต์ที่ไตมีโอกาสติดเชื้อได้ ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยมีอาการไข้สูงและปวดอย่างรุนแรง นอกจากนี้ ซีสต์ที่ติดเชื้อยังมีโอกาสแตกและรั่วไหล ซึ่งอาจนำไปสู่การติดเชื้อในกระแสเลือด และเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
อาการที่บ่งบอกว่าซีสต์ที่ไตอาจมีภาวะแทรกซ้อน ได้แก่:
- ปวดเอวหรือสีข้างเรื้อรัง
- ปัสสาวะปนเลือด
- มีไข้สูงและจำนวนเม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้น
- เกิดนิ่วในไต โดยเฉพาะนิ่ว calci oxalat
- ความดันโลหิตสูง
4. การรักษาซีสต์ที่ไต
4.1. ซีสต์ที่ไตส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องรักษา
โดยทั่วไปแล้ว ถ้าซีสต์ที่ไตไม่แสดงอาการ หรือไม่มีผลกระทบต่อการทำงานของไต ก็ไม่จำเป็นต้องรักษา แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยทำอัลตราซาวด์ หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์เป็นระยะ เพื่อตรวจสอบว่าขนาดของซีสต์ที่ไตมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ เป็นซีสต์ชนิดใด และมีภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นหรือไม่
ในระหว่างการติดตามอาการ แพทย์จะเป็นผู้ตัดสินใจในการรักษาที่เหมาะสม เมื่อซีสต์ที่ไตเริ่มแสดงอาการ หรือมีภาวะแทรกซ้อนที่ส่งผลต่อการทำงานของไต ในบางกรณี ผู้ป่วยที่มีซีสต์ที่ไตเพียงก้อนเดียว อาจหายไปได้เองหลังจากการติดตามอาการไประยะหนึ่ง
4.2 การรักษาซีสต์ที่ไตที่มีอาการ
ความอันตรายของซีสต์ที่ไตจะได้ประเมินจากขนาด และระดับความรุนแรงที่ส่งผลต่อการทำงานของไต หากซีสต์ที่ไตมีอาการ หรือมีแนวโน้มที่จะมีขนาดใหญ่ขึ้น แพทย์จะแนะนำวิธีการรักษาดังต่อไปนี้:
- การดูดน้ำในซีสต์ที่ไต
- การฉีดสารเพื่อทำให้ซีสต์ที่ไตยุบตัว
- การผ่าตัดเอาซีสต์ที่ไตออก
- การส่องกล้องเพื่อตัดเอาซีสต์ที่ไตออก
นอกจากนี้ วิธีการรักษาซีสต์ที่ไตที่มีความซับซ้อน หรือมีภาวะแทรกซ้อน อาจรวมถึง: - การล้างไต: จะใช้ในกรณีที่ซีสต์ที่ไตทำให้เกิดภาวะไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย
- การปลูกถ่ายไต: หากผู้ป่วยมีภาวะไตวาย
- การใช้ยาควบคู่กับการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต: เพื่อควบคุมความดันโลหิตสูง
โรคซีสต์ที่ไตอาจไม่เป็นอันตราย แต่อาจรักษาให้หายขาดได้ยาก วิธีการรักษาซีสต์ที่ไตในปัจจุบัน ส่วนใหญ่มีเป้าหมายเพื่อบรรเทาอาการ และป้องกันไม่ให้ซีสต์ที่ไตมีขนาดใหญ่ขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องกังวลมากเกินไป เพราะในกรณีส่วนใหญ่สามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับซีสต์ที่ไตได้อย่างปกติ หากปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่จำเป็นต้องล้างไต หรือปลูกถ่ายไต
5. การป้องกันซีสต์ที่ไต
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับอากาศเย็นจัด เพราะเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้โรคกำเริบรุนแรงขึ้น
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหักโหม หรือการกระทบกระแทกบริเวณเอว เพราะอาจทำให้เกิดการติดเชื้อ และซีสต์ที่ไตแตกได้
- ดูแลสุขภาพไตให้แข็งแรง
- ควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติ
- หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ และการติดเชื้ออื่นๆ
- ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 1.5-2 ลิตร เพื่อช่วยขับสารพิษออกจากไตหวังว่าข้อมูลในบทความนี้จะช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจเกี่ยวกับโรคซีสต์ที่ไตมากขึ้น หากมีข้อสงสัย หรือมีอาการผิดปกติ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษาอย่างทันท่วงที